รีวิวงานแต่ง Art Gallery สไตล์มินิมอล ณ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ

รีวิวงานแต่งงานสุดคูลสไตล์คนรุ่นใหม่ ณ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ที่ทาง Weddinglist นำมาแชร์ให้ว่าที่บ่าวสาวได้ชมกันในวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นงานแต่งงานตามนิยามและตามสไตล์ของคู่บ่าวสาวจริง ๆ ด้วยคอนเซ็ปต์งานแต่งงานที่เป็น Art Gallery และงาน Reunion พร้อมเน้น After Party เต็มที่ยาว 4 ชั่วโมง ตอบโจทย์คู่บ่าวสาวที่ชอบงานศิลปะ และอยากให้งานแต่งงานเป็นงานที่ได้รวมตัวเพื่อน ๆ มาพบปะ เฉลิมฉลอง และ After Party สนุก ๆ ร่วมกันค่ะ

งานแต่งงาน + Art Gallery

งานแต่งงานของคุณนิคและคุณเนทเป็นงานแต่งงานธีม Art Gallery สไตล์ Minimal โทนสีขาว-ดำ ที่เรียบง่าย สะอาดตา แต่มีสไตล์ไม่เหมือนใคร ทั้งด้วยความที่ไม่ตกแต่งงานด้วยดอกไม้สดใด ๆ และไม่มีมุม Backdrop และ Gallery ตามรูปแบบเดิม ๆ ค่ะ

“Concept คืออยากได้งานที่ไม่มีดอกไม้ เพราะเริ่มรู้สึกว่าจำเจ แล้วก็ไม่อยากจะตัดดอกไม้สวย ๆ มาจากต้น แล้วใช้ไม่นานก็ทิ้ง บวกกับส่วนตัวเป็นคนชอบเดิน Art Gallery ชอบความ Minimal เลยออกมาเป็นธีม Art Gallery อยากให้คนที่มางานเหมือนมา Gallery ของเรา ได้มาพบปะพูดคุยกัน เพราะหลายคนก็นาน ๆ เจอกันที”

งานแต่งงานอบอุ่น เหมือนเป็นงาน Reunion

“ด้วยความที่เพื่อนเจ้าบ่าว และเพื่อนเจ้าสาวก็เป็นเพื่อนกลุ่มใกล้ ๆ กัน เพราะเราเรียนมัธยมที่เดียวกัน และเรียนที่อังกฤษมหาวิทยาลัยเดียวกัน เราเลยอยากให้แขกไม่รู้สึกห่างเหินกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว เพราะหลายงานที่เราไปมักไม่ค่อยได้คุยกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว จึงอยากให้งานเราเป็นกึ่ง Reunion เบา ๆ ทั้งสำหรับเจ้าบ่าวเจ้าสาว และคุณพ่อคุณแม่ด้วยค่ะ”

งานแต่งนี้ไม่มีธีมสี

“เราไม่อยากใช้ Theme งานที่เป็นสีอะไรเป็นพิเศษ เพราะเลือกไม่ถูกจริงๆว่าจะให้สีไหนมีความสำคัญ แขกแต่ละคนก็คงมีสีชุดที่ใส่แล้วมั่นใจที่สุด ชุดที่เค้าคิดว่าสวยที่สุด เราเลยไม่กำหนดธีมสีชุดด้วยค่ะ พอไม่กำหนดสีเลยทำ Gallery ให้เป็นขาว-ดำ แล้วให้แขกที่มางาน มาเป็นสีสันของงานเราแทน”

ทำไมถึงเลือกจัดงานแต่งงานที่โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ?

“เพราะเราอยากได้ห้องที่ดู Modern เพดานสูง อีกทั้งพรมในห้องบอลรูมของที่นี่สี Soft ดี สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ได้สังเกต แต่ส่วนตัวเราไม่ชอบห้อง Ballroom ที่พรมสีจัดหรือมีลวดลายมากเกินไป เพราะมันจะมากระทบกับภาพรวมของงาน
ส่วนในเรื่องของอาหารก็อร่อย รู้เลยว่าพนักงานถูกเทรนมาดีจริง ๆ เพราะเราได้ไปงาน Wedding Fair ของทางโรงแรมมาก่อน แล้วได้ลองชิมอาหาร จึงได้เห็นว่าพนักงานที่นี่เสิร์ฟได้ดี ไม่ข้ามหน้าแขก ซึ่งเราค่อนข้างให้ความสำคัญกับตรงนี้เพราะมีแขกของคุณพ่อคุณแม่มาเยอะ และเป็นคนที่เรารู้จักอยู่แล้วด้วยค่ะ”

เป็นพิธีฉลองแต่งงานตามสไตล์ตัวเองอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร

นอกจากรูปแบบและคอนเซ็ปต์ในการจัดงานแต่งงานของคุณนิคและคุณเนทจะเป็นไปตามสไตล์และนิยามของตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว เรื่องของพิธีการในงานเลี้ยงฉลองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามรูปแบบเดิม ๆ อีกด้วย เพราะทั้งคู่เลือกข้ามในส่วนที่คิดว่าไม่จำเป็นแม้จะเป็นธรรมเนียมที่ใคร ๆ ก็ทำอีกด้วย เช่น การเปิด Presentation การโยนช่อบูเกต์ ฯลฯ และไปเน้นช่วงเวลาที่เป็นการเฉลิมฉลองของทั้งคู่ร่วมกับเพื่อน ๆ จริง ๆ เช่นช่วง After Party ค่ะ

“พิธีการบนเวทีไปเร็วมาก ไม่มี Presentation เพราะเรารู้สึกว่าให้คนดูตรงหน้างานไปเลยละกัน พิธีกรก็ไม่ได้แนะนำตัวบ่าว – สาวในงานด้วย มีแค่สัมภาษณ์นิดหน่อย ประธานขึ้นเวทีไปกล่าวยินดีเล็กน้อย และตัดเค้ก ไม่มีการโยนดอกไม้ด้วย จริง ๆ แล้วตอนแรกกะจะไม่มีอะไรเลย แต่โดนเบรคไว้เล็กน้อย ว่าแขกอาจจะรู้สึกแปลก ๆ ได้ เพราะเรารู้สึกว่า เวลาไปงานแต่งงานเพื่อน ๆ เหมือนจะโดนบังคับให้ออกไปรับดอกไม้ตลอดเลย ซึ่งเราไม่อยากบังคับใคร”

งานจัดเลี้ยงแบบค็อกเทล ชิค ๆ ชิล ๆ

ด้วยความที่งานแต่งของคุณนิคและคุณเนทนั้นมีคอนเซ็ปต์เป็นทั้ง Art Gallery และงาน Reunion ย่อม ๆ บรรยากาศงานจึงมีความชิล คล่องตัว และเน้นความเป็นกันเองสุด ๆ เพราะฉะนั้นรูปแบบงานเลี้ยงที่เหมาะที่สุดก็คืองานเลี้ยงแบบค็อกเทล ที่ให้แขกเหรื่อสามารถเดินรับประทานไป พบปะพูดคุยกันไปได้อย่างสะดวกค่ะ

“รูปแบบการจัดงานเลี้ยงเป็น Cocktail เพราะอยากให้เหมือนมาดูงานเปิดตัว Gallery และแขกก็จะได้เดินคุยได้ทั่วงาน ส่วนซุ้มอาหาร เราเน้นให้ไม่ซ้ำกับงานอื่น เช่น หมูย่างตรัง ราดหน้าปลาเต้าซี่ ซึ่งอาหารของ Okura มีคนบอกมาเยอะว่าอร่อย รวมทั้งห้องอาหารญี่ปุ่นของ Okura ก็มีชื่ออยู่แล้ว”

เจ้าบ่าวชอบ EDM + เจ้าสาวชอบดนตรีสด

After Party !! ตามใจคู่บ่าวสาว บรรยากาศคึกคักเหมือนอยู่ผับ

“เราทั้งคู่ชอบ Party ที่ไม่เหมือนกัน นิคจะชอบแนว EDM ส่วนเนทจะชอบวงดนตรีสด เราเลยมาเจอกันครึ่งทาง โดยเริ่มที่วงดนตรีสดก่อน 2 ชม. แล้วค่อยตามด้วยดีเจ EDM 2 ชม. ในช่วงดนตรีสด เนทเป็นคนเลือกเพลงเองทั้งหมด เพราะเราอยากคุมให้ Theme เพลงเป็นแนวเดียวกัน โดยเริ่มจากยุค 90s แต่บางเพลงยุค 90s เราก็เบื่อแล้ว เลยต้องเลือกทีละเพลงเอง ซึ่งบางเพลงก็คุ้นหูแต่ไม่ได้ฟังมานานแล้ว เพื่อน ๆ หลายคนชอบ

พอจบดนตรีสดก็จะมีดีเจ และ MC ขึ้นมา พร้อมเปลี่ยนโทนปาร์ตี้เป็นเพลง EDM บรรยากาศโดยรวมก็จะเหมือนผับจริง ๆ ด้วยความที่ขนาดห้องพอดีกับจำนวนคน บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน ส่วนอาหารเครื่องดื่มก็จะมีบาร์เครื่องดื่มอยู่ตรงกลาง พร้อมมีอาหารเตรียมไว้ให้ข้างหลัง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากไลน์อาหาร Cocktail ในงาน และก็มีของขบเคี้ยวอื่น ๆ ที่เราซื้อมาเอง ซึ่งโรงแรมก็มีถ้วยใส่ Snacks แจกให้ทุกโต๊ะ ทุกอย่างเราวางแผนไว้อย่างดี เพราะอยากให้คนประทับใจกับงานเราในทุกรายละเอียดค่ะ”

ประทับใจการจัดงานแต่งงานที่ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ

“ประทับใจอาหารในงานที่อร่อย มีพนักงานคอยเก็บจานอาหารที่แขกทานแล้วให้เรียบร้อย สามารถลองชิมอาหารได้ก่อน และให้จัด After Party ได้ถึงตี 1 เลย คอยเก็บของมาส่งให้ที่ห้อง หลังงานเลิก ที่สำคัญคือ ห้องพักของโรงแรมดีมากกกก”

ฝากถึงคู่บ่าวสาวอื่น ๆ ที่กำลังจะแต่งงาน

“เริ่มจากสังเกตงานแต่งงานที่เราเคยไปมาก่อนหน้านี้ ว่าเราชอบแบบไหน แต่ละงานมีข้อดีข้อเสียยังไง คนในงานชอบแบบไหน เพราะเวลาไปงานคนอื่นเราจะได้เห็น Feedback พวกนี้ หากเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอง เราจะไม่ค่อยรู้เพราะจะอยู่ที่ Backdrop เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจุดไหนที่ดีและชอบ ก็นำมาปรับใช้กับงานตัวเอง จุดที่เป็นข้อผิดพลาด เราก็จำมาเป็นข้อที่เราควรระวังในงานของตัวเองเช่นกันค่ะ

เวลาไปคุยกับสถานที่ ให้ลิสต์คำถามที่เราจะถามเซลล์ไว้ล่วงหน้าเลย จะได้ไม่ตกหล่นเวลาถาม

ที่สำคัญควรมีตาราง Excel ไว้ทำค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อจะได้บริหารเงิน และเวลาของเราได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รวมทั้งควรมีสมุด Planner ไว้จดว่าวันไหนต้องทำอะไรบ้าง มีกำหนด Deadline ว่าต้องตัดสินใจเรื่องนี้ ภายในช่วงนี้ จะได้ไม่ลนตอนใกล้งาน
ไอเดียอะไรที่คิดออกให้จดไว้ก่อน แล้วค่อยดูว่าทำได้จริง ๆ แค่ไหน แต่คิดแล้วต้องจดเลยก่อนที่จะลืม โดยเฉพาะถ้าเป็นคนให้รายละเอียดกับงานมาก ๆ ค่ะ”

ขอแพ็คเกจแต่งงานโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ