ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายของคำว่า “แต่งงาน” เอาไว้ว่าเป็นการ “ทำพิธีเพื่อให้ชายหญิงอยู่กินเป็นผัวเมียกันตามประเพณี” พิธีแต่งงานจึงเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ การสร้างครอบครัวอย่างเป็นทางการของคู่รัก weddinglist เลยอยากชวนทุกคนมาย้อนดูพิธีแต่งงานไทยในอดีตถึงปัจจุบันว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
พิธีแต่งงานไทยในสมัยโบราณ
ในสังคมโบราณ ก่อนฝ่ายชายจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวฝ่ายหญิง ต้องเข้าไปเป็นบ่าวหรือคนใช้ที่บ้านฝ่ายหญิงก่อน เพราะสมัยก่อนเป็นสังคมเกษตร การมีแรงงานเพิ่มถือเป็นเรื่องดี เลยเป็นที่มาของคำว่า “เจ้าบ่าว” แปลว่า “คนใช้” ฝ่ายชายต้องทำให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงพอใจ เขาถึงจะยอมยกลูกสาวให้
นอกจากนี้สมัยนั้นยังให้ความสำคัญกับเรื่องดวงชะตาค่อนข้างมาก มีการขอวันเดือนปีเกิดของฝ่ายชาย เพื่อให้หมอดูเช็กว่าดวงของคนทั้งคู่สมพงษ์กันหรือไม่ มีการเตรียมงานเป็นเดือน พิถีพิถันในทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การหาฤกษ์มงคลแต่งงาน การเตรียมของหวานเครื่องคาว เป็นต้น เพราะเชื่อว่าจะนำความสิริมงคลสู่คู่บ่าวสาวนั่นเอง
ลำดับพิธีแต่งงานไทยในอดีต
ส่วนพิธีแต่งงานแบบไทยโบราณจะจัดด้วยกันทั้งหมด 2 วัน คือวันศุกร์ดิบและวันแต่งงาน โดยหลังผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายชายจะส่งของหมั้นมาให้ฝ่ายหญิง เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะแต่งงานด้วยนะ และจะต้องทำการสร้างเรือนหอในพื้นที่ของฝ่ายหญิงให้แล้วเสร็จก่อนวันแต่งงาน พอสร้างเรือนหอเสร็จจะต้องทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ นิมนต์พระมาสวดมนต์ตอนเย็น ซึ่งพระที่มาทำพิธีสวดมนต์ให้นี่แหละจะเป็นคนมอบมงคลแฝดและรดน้ำมนต์ให้แก่ผู้บ่าวสาว เราจะเรียกวันนี้ว่า “วันสุกดิบ”
และในคืนเดียวกันนั่นเอง เจ้าบ่าวจะต้องนอนเฝ้าหอ และตื่นเช้ามาตักบตรด้วยกันกับเจ้าสาว จากนั้นจึงจะเป็นการแห่ขันหมากมายังบ้านเจ้าสาว ทำพิธีเว่นไหว้บรรพบุรุษในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายก็จะเป็นการรดน้ำสังข์จากญาติผู้ใหญ่ พอได้ฤกษ์ปูที่นอน ฝ่ายเจ้าสาวจะต้องจัดเตรียมเครื่องนอน และอุปกรณ์ต่าง ๆ มาไว้ข้างที่นอน ตามความเชื่อว่าจะอยู่เย็นเป็นสุข จากนั้นผู้ใหญ่ก็จะนอนลงเป็นพิธี และฝ่ายเจ้าสาวก็จะส่งของชำรวย แต่เจ้าบ่าวยังต้องนอนเฝ้าหอจนกว่าจะได้ฤกษ์เรียงหมอนจึงจะส่งตัวเจ้าสาว โดยระหว่างที่เจ้าบ่าวนอนรอฤกษ์ ก็จะมีการมโหรีขับกล่อม ให้เจ้าบ่าวประพฤติตัวดีเป็นอันจบสิ้นพิธี
พิธีแต่งงานไทยในปัจจุบัน
พิธีแต่งงานในปัจจุบันนิยมจัดงานให้เสร็จในวันเดียว โดยได้ดัดแปลงวันสุกดิบและรวบรัดพิธีการ รวมถึงขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายตามรูปแบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป มีด้วยกันทั้งหมด 6 รูปแบบ ดังนี้
ลำดับพิธีแต่งงานในปัจจุบัน รูปแบบที่ 1
- ช่วงเช้า : พิธีแห่ขันหมาก
- ช่วงสาย : พิธีรดน้ำสังข์ > ส่งตัวเจ้าสาว
- ช่วงเย็น : พิธีเลี้ยงแขก
ลำดับพิธีแต่งงานในปัจจุบัน รูปแบบที่ 2
- ช่วงเช้า : พิธีสงฆ์ > พิธีไหว้ผู้ใหญ่
- ช่วงสาย : ส่งตัวเจ้าสาว
- ช่วงเย็น : พิธีเลี้ยงแขก
ลำดับพิธีแต่งงานในปัจจุบัน รูปแบบที่ 4
- ช่วงเช้า : พิธีแห่ขันหมาก > ทำบุญตักบาตร > จดทะเบียนสมรส
- ช่วงบ่าย : พิธีรดน้ำ > ส่งตัวเจ้าสาว
ลำดับพิธีแต่งงานในปัจจุบัน รูปแบบที่ 3
- ช่วงเช้า : พิธีสงฆ์
- ช่วงบ่าย : พิธีแห่ขันหมาก
- ช่วงเย็น : พิธีรดน้ำสังข์
ลำดับพิธีแต่งงานในปัจจุบัน รูปแบบที่ 5
- ช่วงเช้า : พิธีสงฆ์> พิธีรดน้ำสังข์ > ผูกข้อมือคู่บ่าวสาว > จดทะเบียนสมรส
- ช่วงบ่าย : พิธีเลี้ยงแขก
ลำดับพิธีแต่งงานในปัจจุบัน รูปแบบที่ 6
- ช่วงเช้า : พิธีสงฆ์ > พิธีรดน้ำสังข์ > จดทะเบียนสมรส
นอกจากรูปแบบของงานที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จำนวนแขกที่เข้ามาร่วมงานก็ด้วยเช่นกัน เพราะบ่าวสาวยุคใหม่จัดงานแต่งงานที่ให้บรรยากาศอบุอุ่น ได้ใกลิชิดกับคนในครอบครัวหรือคนที่สนิทจริง ๆ โดยเฉพาะในพิธีหมั้น หลายคู่เลือกเชิญแค่คนสนิทมาร่วมงานเท่านั้น น้อยคู่มากที่จำเชิญแขกปริมาณมาก ๆ เว้นเสียแต่ว่าเป็นความต้องการของพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย
ที่สำคัญกว่านั้นการจัดงานแต่งงานในยุคปัจจุบันยังสะดวกสะบายด้วยบริการจัดงานแต่งงาน wedding organizer มาทำหน้าที่จัดการทุกขั้นต้อนพิธีการแต่งงานตั้งแต่ต้นจนจบ บ่าวสาวแค่เสนอไอเดียและแจ้งในสิ่งที่ตนเองอยากให้เกิดขึ้นในงานแต่ง เพียงเท่านี้ก็ะได้งานแต่งที่ครบสมบูรณ์แล้ว
สรุป
จะเห็นได้ว่าพิธีแต่งงานในอดีตกับปัจจุบันแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย พิธีสงข์ พิธีรดน้ำสังข์ พิธีส่งตัวเจ้าสาว และอื่น ๆ ยังคงอยู่ครบในปัจจุบัน แต่อาจจะมีการจัดพิธีการให้กระชับขึ้น จากที่จัด 2 วัน รวมให้เหลือแค่วันเดียว อีกทั้งก็ยังคงให้ความสำคัญกับพิธีเหล่านี้ค่อนข้างมาก เพราะมองว่าจะนำความมงคลสู่คู่ชีวิตบ่าวสาวนั่นเอง