เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 67 ปีที่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงประกอบพิธีหมั้นกับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร หลังจากนั้นรัฐบาลได้แจ้งให้ประชาชนชาวไทยทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ จะเสด็จนิวัติกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระคู่หมั้นในวันที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นวันประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม อันเป็นที่ประทับของ “สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี” พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อใกล้ถึงเวลาพระฤกษ์ เวลา ๐๙.๓๐น. “หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร” ทรงนำหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ไปยังวังสระปทุม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธย และ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ลงนามในสมุดทะเบียนสมรส และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชสักขีพยาน ๒ คน คือ”จอมพล ป. พิบูลสงคราม” นายกรัฐมนตรี “พล.อ.มังกร พรหมโยธี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมลงนามด้วย นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ที่ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ประทานน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนต์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนต์แก่ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ตามโบราณราชประเพณี ทาง”พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และบุคคลที่ได้รับเชิญมาร่วมในพระราชพิธี ทูลเกล้าฯ ถวายของขวัญ ในโอกาสนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานของที่ระลึกเป็นหีบบุหรี่เงินขนาดเล็ก ประดับอักษรพระนามาภิไธยย่อ ภ.อ. และ ส.ก”ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ พระอัครมเหสี เป็น “สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์” และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์แก่สมเด็จพระราชินีในศุภมงคลโอกาสนี้ด้วย