วันนี้ Weddinglist ได้รับเกียรติกับทาง คุณสา Influencer ชื่อดัง ทั้งแชลแนล Youtube (Sakaejai Channel) และ Tiktok (saarora_) มาสัมภาษณ์รีวิวแต่งงานพร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวการแต่งงานของคนอินเดีย พิธีกรรมต่าง ๆ เจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานเข้าบ้านของเจ้าบ่าวอินเดียต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง แถมยังแอบกระซิบเรื่องชุดแต่งงานที่กว่าจะได้มานั้นยากลำบากแค่ไหน บรรยากาศและขั้นตอนการแต่งงานของคุณสาจะเป็นอย่างไร เชิญรับชมกันได้เลยค่ะ 

ความรู้เบื้องต้นก่อนเป็นสะใภ้อินเดีย 

คุณสา “เบื้องต้นเราต้องบอกว่า อินเดียถ้าเปรียบเหมือนไทยก็เป็นวัฒนธรรมตามพื้นที่แต่ละพื้นที่ไป ถ้าเป็นภาคเหนืออย่างเชียงใหม่เขาก็จะแต่งงานแบบเหนือแบบล้านนาหรือแบบแม้ว ซึ่งอินเดียก็คล้ายกัน แต่การแต่งงานที่ฮิตกันมากที่สุดของอินเดียมีอยู่ 2 พิธีกรรม คือ แต่งงานแบบศาสนาซิกข์ และ แต่งงานแบบศาสนาฮินดู ซึ่งทั้งสองศาสนามีดีเทลการแต่งงานที่แตกต่างกันพอสมควร แล้วแต่ละบ้านว่านับถือศาสนาอะไร อันนี้เราก็พูดถึงภาพรวมของการแต่งงานแบบอินเดียว่ามันแตกออกมาเป็น 2 แขนงอย่างที่บอกไป ซึ่งสาแต่งแบบซิกข์ ซึ่งแต่งแบบซิกข์ก็จะมีดีเทลไม่ค่อยเยอะ ถ้าแต่งแบบฮินดูก็จะมีดีเทลค่อนข้างเยอะเพราะเขาต้องทำตามเวลาทุกอย่างที่บัณฑิต(นักบวชของฮินดู)แจ้งไว้ทุกอย่างต้องต่อเวลาหมดเลยตั้งแต่ออกจากห้อง เดินรอบกองไฟ เวลานี้ ถ้าได้เวลาฤกษ์ตอนตี 5 เราก็ต้องตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อให้ทันเวลาตี 5 ทีนี้เราข้ามไปเพราะเราไม่ได้แต่งแบบฮินดู เราเลือกแต่งแบบซิกข์แต่จริง ๆ ที่บ้านนับถือทั้งแบบฮินดูกับซิกข์นั้นแหละเพราะเรื่องการนับถือคล้าย ๆ กัน“

คุณสา “ซึ่งการแต่งงานแบบศาสนาซิกข์ ข้อจำกัดในเรื่องของการแต่งแบบในวัดและแต่งนอกสถานที่ ซึ่งการแต่งแบบซิกข์เมนหลักคือต้องมี “พระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ ซาฮิบ” ซึ่งเป็นคัมภีร์ของศาสนาซิกข์เป็นคัมภีร์ที่ไม่สามารถออกจากวัดได้ มีแค่โรงแรมในไทย 1 – 2 แห่งเท่านั้นถ้าจำไม่ผิดในไทยที่สามารถเอาคัมภีร์ออกมาจากวัดได้ เพราะสถานที่ที่คัมภีร์สามารถอยู่ได้ต้องเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์จริง ๆ แล้วโรงแรมที่สาเลือกก็เป็น 1 ในนั้น เราไม่ได้แต่งในโรงแรมนะคะ เราแต่งที่บ้านของเจ้าของโรงแรม เป็นสถานที่ที่สามารถเอาคัมภีร์ไปไว้ได้ซึ่งต้องเป็นสถานที่ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีเนื้อสัตว์ ต้องบริสุทธิ์แบบจริง ๆ ถึงจะเลือกเอาคัมภีร์ไปไว้ได้ “

คุณสา “ถ้าเลือกง่ายสุดธรรมดาทั่วไปคือแต่งในวัด ข้อจำกัดก็คือตกแต่งงานแต่งงานได้ไม่ค่อยมากเพราะอยู่ในวัด ส่วนการแต่งงานแบบศาสนาซิกข์ก็มีข้อจำกัดในไทยอยู่ที่เราไม่สามารถแต่งที่ไหนก็ได้เพราะที่อยู่คัมภีร์นั้นต้องบริสุทธิ์จริง ๆ โรงแรมที่สาแต่งคือ เดอะ ปาลานายา รีสอร์ต แอนด์ วิลลาหัวหิน ซึ่งที่นี่เจ้าของโรงแรมนับถือศาสนาซิกข์โดยตรงเลยค่ะ บ้านเขาสามารถเอาคัมภีร์เข้าไปได้ เขาไม่มีแอลกอฮอล์ เวลาจะเข้าบ้านเขาก็ต้องทำความสะอาดให้บริสุทธิ์ก่อนเข้าบ้านเพราะบ้านหลังนี้ต้องบริสุทธิ์เพื่อใช้ในพิธีการแต่งงานของคนซิกข์ได้ ก็เลยเป็นที่ยอมรับในกลุ่มแวดวงของคนอินเดียที่แต่งแบบถูกตามหลักศาสนาจริง ๆ แต่ถ้าคนที่ไม่ซีเรียสเรื่องต้องถูกต้องตามหลักศาสนาก็จะมีอีกกลุ่มที่มักจะต่อต้าน เพราะทุกคนก็ไม่ได้ยอมรับเพราะว่าจริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ดั้งเดิมเลยทุกคนต้องแต่งในวัดเท่านั้นเพราะว่าคัมภีร์ไม่สามารถออกนอกวัดได้ มันที่ตรงนี้แหละ“

   เตรียมตัวก่อนเป็นเจ้าสาว พิธีศาสนาซิกข์    

คุณสา : “หลัก ๆ เลยจะมีอยู่ 3 พิธี เป็นพิธีที่แมส ๆ แต่ว่าก็แล้วแต่บ้านเหมือนกันว่าจะเพิ่มส่วนนั้นส่วนนี้เข้ามาแล้วแต่บ้าน บางบ้านฉันจะทำแบบนี้ไม่ทำแบบนี้นะ สาเองแต่งแบบคนทั่วไปแต่งแบบแมส ๆ ที่คนนิยมกัน เพราะไม่มีอะไรประหลาดมานอกเหนือจากที่เขาทำกัน

? พิธีเมนเฮนดี (Mehndi) ?

พิธีเพ้นท์เฮนน่าบนมือ ต้องหาเฮนน่าก่อนที่จะแต่งงาน 1 วัน และในวันงานอาจจะมีเติมบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เราแต่งงาน 2 วันเนาะ คืนแรกก็เป็นคืนเมนเฮนดี ความหมายของการทำพิธีนี้คืออยากให้เจ้าสาวอยู่กับตัวเอง ต้องทางทั้งมือลากยาวมาถึงศอก จากเท้าจนเกือบถึงเข่า

เขาเชื่อว่าเราจะโฟกัสและอยู่กับตัวเองและได้คิดทบทวนและเป็นช่วงที่ญาติพี่น้องของเรามานั่งคุยกันว่า จะแต่งงานแล้วนะ

อีกความเชื่อหนึ่งคือ ยิ่งลายเฮนน่าเข้มมากเท่าไหร่ความรักก็จะยิ่งยืดยาวเท่านั้น เพราะสีของเฮนน่ามันค่อย ๆ จาง เขาจึงเชื่อว่าคู่ไหนที่ทาเฮนน่าแล้วสีมันเข้มกว่าคู่อื่น ๆ หรือมันอยู่ได้นานกว่าคู่อื่น ๆ ความรักของคู่นั้นแหละจะยาวนาน

มีการเล่ามาอีกว่าผู้หญิงแต่งงานเรียบร้อยแล้วผ่านมาสองอาทิตย์ เฮนน่าของเรายังอยู่ในตัวเราอยู่ เราห้ามทำงาน เพราะเขาเชื่อว่าถ้าเราทำงานในขณะที่เรามีเฮนน่าอยู่เราจะลำบากไปตลอดชีวิต เราจะได้ทำงานไปตลอดชีวิต ล้างจานก็ไม่ได้ คือเป็นสองอาทิตย์ที่ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเขาเชื่อว่าถ้าเราไม่ทำงานลวดลายมันจะอยู่ไปตลอดเราจะได้สบายไปทั้งชีวิต”

คุณสา : “พิธีเฮนน่า หลัก ๆ ก็มีการทำเฮนน่า ใส่ชุดสวย ๆ ธีมงานแต่งงานของสาก็จะเป็นแบบคัลเลอร์ฟลูชุดสีชมพู ประมาณนี้ มีการเต้น มีการเล่นเกมส์กันให้คนในงานรู้จักเราสองคนมากยิ่งขึ้น มีร้องเพลงอินเดีย ถ้าเป็นคนไทยเราก็จะรดน้ำสงข์ แต่งานนี้เราจะให้คนในงานมาทาเฮนน่าให้เราเพราะฉะนั้นเราต้องใส่ถุงกร๊อบแกร๊บในมือก่อนเพราะเราทาเฮนน่าไว้แล้วเราก็ให้คนในงานมาทาเพิ่มให้เป็นกิมมิคในงานของเรา แล้วก็เขาจะมีการละเล่นกันคือเหมือนลวดลายเฮนน่าน่ะค่ะ เขียนว่าสา กวิน ก็คือการทาเฮนน่าเขาจะใส่ตัวอักษรชื่อของแฟนอยู่ในนี้แต่ซ้อนแล้วให้แฟนเราหา อยู่ตรงนั้นอยู่ตรงนี้ให้มันเป็นลายเดียวกันซึ่งเรามีตัวอักษรซ้อนอยู่อย่างเช่นตรงนี้ให้แฟนเราหา ๆ ๆ ให้เจอ ต้องหาให้เจอแล้วแฟนเราก็ดีใจที่หามันเจอได้“

⭕ พิธีใส่กำไลแดง ⭕

คุณสา : “ตอนเช้าเลยประมาณสักตี 5 จะมี พิธีที่ชื่อว่าใส่กำไลแดง จริง ๆ กำไลแดงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ สำหรับเจ้าสาวอินเดีย เพราะว่ามันเป็นการใส่ที่ถือว่าคุณคือเจ้าสาวแล้วและคุณต้องใส่กำไลนั้นไปตลอดแต่อยู่ที่ดิวกันคือห้ามถอดเลย แล้วก็อยู่ที่ดิวกันบ้านฝั่งของสามีว่าพ่อแม่ของสามีให้เราถอดได้ตอนไหน หลังเราแต่งงาน บางบ้านไม่ให้ถอดเลย ใส่จนกว่ามันจะแตกเอง เพราะว่าเขาถือว่าถ้าเรารีบถอดความรักเรากับลูกชายเขาก็จะอายุสั้นไม่คงยาวประมาณนั้น“

คุณสา : “คือกำไลแดงเป็นเหมือนสัญลักษณ์เวลาเราไปไหนมาไหนทุกคนจะได้รู้ว่าเราเพิ่งแต่งงานก็โชว์นิดนึง ๆ อันนี้จะเป็นพิธีตอนเช้าสุดเลยประมาณตี 5 คือเหมือนเราต้องอาบน้ำสระผมทุกอย่างให้ใหม่หมดแล้วเราต้องใส่เสื้อผ้าใหม่ทุกอย่างตั้งแต่ด้านในยันด้านนอกชุดต้องแต่งใหม่หมด เหมือนล้างความเป็นคนเก่าออกไป ฉันจะมีชีวิตที่ใหม่แล้ว ฉันจะไปอยู่บ้านใหม่ ฉันจะแต่งงานแล้ว แล้วเขาก็ห้ามให้เราดูเลยตอนใส่กำไลแดง คนที่ใส่ก็จะเป็นผู้ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พวกคุณลุง คุณอาให้มาใส่กัน ใส่เสร็จเขาก็มีการร้องเพลงกัน แล้วตอนใส่เราต้องใส่จุนนิด้วยเหมือนเราให้ความเคารพว่ากำไลแดงคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ เพราะใส่กำไลแดงเสร็จ“

⭕ ⭕ ⭕ ⭕ ⭕ ⭕ ⭕ ⭕ ⭕ ⭕ ⭕

พิธีในวันแต่งงาน (เดินส่งตัวเจ้าสาว) 

คุณสา : “แล้วเราก็รีบไปแต่งตัวใส่ชุดแต่งงาน พิธีหลัก ๆ ของงานแต่งงานแต่งงานคือตอนเดินมาส่งเจ้าสาว เจ้าบ่าวจะรออยู่หน้าคัมภีร์แล้วนะ แล้วเจ้าสาวจะค่อย ๆ เดินมาเหมือนจะเดินมาพร้อมคุณพ่อ คุณพ่อเหมือนจะเดินมาส่ง แล้วก็เขาจะมีซุ้มที่เป็นอีกหนึ่งสัญญาลักษณ์ที่ต้องมี เหมือนเดินมาส่งนะให้ความร่มรื่นนะ พวกเรายังคงซัพพอร์ตเธอนะ เขาก็จะถือว่าให้ผู้ชายเป็นคนถือเพราะเขาก็จะเป็นพวกคุณลุง ลูกพี่ลูกน้อง ญาติ ๆ กัน ผู้หญิงห้ามถือนะจะเดินมาข้าง ๆ กับคุณพ่อ เหมือนคุณพ่อเดินมาส่งเจ้าสาวซึ่งซีนนั้นมันเศร้ามาก“

คุณสา : “แล้วเขาก็จะมีผ้า ผ้าสีส้มเราต้องจับให้แน่นมากแล้วต้องเดินวนสี่รอบ เขาถือว่าถ้าเกิดเดินไปแล้วผ้าหลุดถือว่าไม่ดีเลยนะ ห้ามให้ผ้าหลุดเลยเพราะเชื่อว่าความรักอาจแตกหักกันได้ คือพิธีนี้เราต้องจับผ้าแบบจับแน่นมาก ๆ แล้วเราก็ฟังสวดไปด้วยเดินวนไปด้วย สี่รอบ ในขณะที่เดินวนลูกพี่ลูกน้องที่ถือซุ้มใส่เราเขาก็จะยืนตามมุมสี่มุมคอยส่งเราแล้วเดินวนตามเราสามรอบ ถ้าเราเดินครบทั้งสามรอบแล้วผ้ายังอยู่ในมือเราถือว่าโอเคเลย เสร็จพิธีแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“

คุณสา : “พอเราสวดเสร็จก็มี พิธีคล้องพวงมาลัยกัน แข่งขันกันระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาว เหมือนเขาถือว่าใครที่คล้องพวงมาลัยได้ก่อนคนนั้นจะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า“

      ธีมงานสีฟ้าพาสเทล & ชมพูพีชบานเย็น     

คุณสา : “ธีมงานที่สาเลือกก็คือสีฟ้าสีพาสเทล แขกที่มาในงานแต่งเป็น สีชมพูพีช ชมพูบานเย็น ทุกคนเลยต้องใส่สีชมพู ตัวบ่าวสาวก็จะแต่งเป็นสีฟ้า ตกแต่งดอกไม้ต่าง ๆ ก็เป็นสีฟ้าเลย สีฟ้าพาสเทลรวมถึงชุดเจ้าสาวด้วย เรื่องสีไม่มีความเชื่อเลยแล้วแต่บ่าวสาวว่าชอบสีไหนก็จัดได้ แต่โดยปกติแล้วคนอินเดียของงานแต่งงานสีแดงกัน แต่ช่วงนี้คนใส่สีแดงคือน้อยมาก แต่ก่อนแต่งริมทะเลไม่ได้นะ ไม่มีใครยอมรับเลยว่าคุณแต่งงานแล้ว คุณต้องแต่งงานในวัดเท่านั้นเขาเชื่อว่าคัมภีร์นี้ออกนอกสถานที่ไม่ได้เลยเคลื่อนย้ายไม่ได้ต้องอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวนี้คือดีขึ้นมาก ๆ มีขึ้นเยอะเลย รุ่นแม่สาไม่ได้เลยนะต้องไปแต่งงานกันที่วัดอย่างเดียว และสวมแหวนกันในวันนี้“

พิธีเคาะกำไลหล่นใส่ศีรษะใครคนนั้นได้แต่งงานต่อหรือมีแฟนต่อ  

คุณสา : “พอเสร็จจากพิธีแต่งงานตอนเช้าก็ต่อด้วย พิธีการีเลส คือเป็นกำไลเหมือนเราให้เพื่อนที่มาร่วมงานนั่งลงแล้วเราก็เคาะตึง ๆ ๆ พิธีรับโดริฝ่ายชายเขาก็จะตีกลองกันเสียงดังส่งสัญญาณว่าเขาจะมารับเราเอาไปแล้ว เหมือนไทยก็คืองานแห่ขันหมาก มีการตีกลองเสียงดังคึกครื้น เพื่อนเราก็บอกให้ทำแบบนั้นสิ แบบนี้สิ แล้วความเชื่อของคนอินเดียคือเราต้องซ้อนรองเท้าผู้ชาย คือพี่น้องสาต้องเอารองเท้าของกวินน่ะไปซ้อนแล้วก็ขอเงินค่ารองเท้าเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าของไทยก็เหมือนค่าผ่านด่านประมาณนั้นแล้วต่อด้วยพิธีนี้แหละค่ะ เคาะกำไลบนหัวเพื่อนถ้าไปหล่นที่ใคร ก็จะถือว่าคนนั้นจะได้แต่งงานต่อ เหมือนกำลังจะมีแฟนนะ“

??? พิธีโดริ (โยนข้าวสาร) ???

คุณสา : “พิธีสุดท้ายคือพิธีโดริ เขาจะมารับตัวเจ้าสาวไปแล้วซึ่งในพิธีจะมีการโยนข้าวสาร ซึ่งการโยนข้าวสารเราห้ามหันไปมองบ้านเราเด็ดขาดเพราะว่าเขาเชื่อว่าถ้าหันกลับไปมองแล้วจะทำให้คนข้างหลังเป็นทุกข์ตลอดชีวิตเลย เขาจะให้ถือข้าวสารไว้ข้างหน้าแล้วโยนไปด้านหลัง แล้วก็ต้องเดินออกไปฝั่งเจ้าบ่าวเลยทันที การโยนเข้าสารให้ฝ่ายพ่อแม่ของเราคือเหมือนเราบอกว่าฉันจะไปแล้วนะขอให้พวกเขามีอยู่มีกิน ไม่ต้องห่วงฉันนะ ซึ่งถ้าหันไปมองเป็นอะไรที่ผิดมาก เพราะว่าพ่อแม่เราตอนนั้นคือร้องไห้หนักมาก เป็นพิธีที่ขนลุกมาก พวกเขาก็จะร้องไห้เสียงดังมากแต่เราต้องอดทนใส่เขาโยนประมาณ 3 – 4 รอบได้ แล้วเขาก็จะเก็บข้าวนั้นกันเพราะเขาถือว่าข้าวนั้นเป็นข้าวที่มาจากการโยนของเจ้าสาวเพื่อที่เราจะได้มีข้าวกินนะ อยู่เย็นเป็นสุขนะ เขาก็เลยจะเก็บข้าวกัน“

คุณสา : “มูฟมาฝั่งบ้านผู้ชาย ฝั่งบ้านผู้ชายเจ้าบ่าวเราก็คือเฮฮามาก เหมือนพวกเขาได้รับสมาชิกใหม่ ฝั่งเจ้าสาวคือร้องไห้ฮือ ๆ แต่ฝั่งเจ้าบ่าวคือเฮฮา ตีกลอง ทางนั้นเขาก็จะมีพิธีที่แบบเหมือนเอาสร้อยมามัดข้อมือให้เรา ญาติ ๆ เขาก็มัดให้เราแล้วแสดงความยินดีด้วยนะ สะใภ้ใหม่ของตระกูลเรานะ มาถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน จบพิธีโดริแต่งงานแล้ว“

คุณสา : “สุดท้ายของงานแต่งงานคือบารัด บารัดคือปาร์ตี้ เรียกว่าสันกรีซก็ได้ ถ้าเรียกว่าสันกรีซจะมีคนรู้จักมากกว่า ตอนปาร์ตี้สาเลือกเป็น ธีมสีแดง ก็มีการเต้นกัน ตกแต่งก็เป็นสีแดง เต้นกัน งานปาร์ตี้เหมือนเปิดพรีเซนต์ให้ดูว่าเรารู้จักกันมาได้อย่างไรมีเกมส์มีการแสดงมีความในใจ จริง ๆ ในพาร์ทนี้ก็กิจกรรมคล้าย ๆ ของคนไทยส่วนใหญ่แหละที่มีการพูดความในใจอวยพรให้ทุกคนรักกัน มีการตัดเค้ก มีการสอนเต้นรำ มีถ่ายรูป มีใครอยากให้ของขวัญก็มาให้ได้ที่หน้าเวที ท้ายที่สุดเลยคือ After party ช่วงเวลานี้สนุกสนานได้เต็มที่เลยมีการเปลี่ยนชุดกัน จบพิธีแต่งงานของสาค่ะ“

จบขั้นตอนพิธีแต่งงานของคุณสาไปแล้วมาต่อด้วยความรู้สึกและการวางแผนในวันแต่งงานกันดีกว่าค่ะ 

คุณสา : “เหมือนงานแต่งงานขอสาไม่ได้แพลนดูตามฤกษ์ คือคิดว่าเดือนนี้โอเคแล้ว วันนี้โอเคแล้ว เราคิดว่าเป็นวันที่ทุกคนมาร่วมงานแต่งงานของเราได้มันเป็นวันศุกร์ก็หลังเลิกงานกันพอดี ไม่ได้ไปดูฤกษ์ดูยามกันที่ไหน เหมือนมีมาร์คไว้ในใจแล้วว่าต้องเป็นเดือนนี้ แล้วก็ส่วนมากจากการเตรียมงานเราสองคนช่วยกันเตรียม ส่วนตัวเราเองมีหน้าที่เรื่องชุดแต่งงานเพราะว่าชุดเป็นเรื่องปวดหัวมากก หลัก ๆ คือสามชุดใหญ่ ๆ และชุดเราก็ส่งตรงมาจากอินเดียหมดเลยแล้วเราต้องคอลหาดีไซเนอร์ที่อยู่อินเดียดูแบบทำชุดกันอยู่สามเดือนเป็นแบรนด์ชุดแต่งงานที่อยู่อินเดียเลย แต่ถ้าหากรวมระยะเวลาทั้งหมดทั้งมวลในการเตรียมงานก็ประมาณ 4 เดือน สาแต่งงานเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2565 ค่ะ “

คุณสา : “ก่อนแต่งงานคือเตรียมใจหนักสุด เพราะว่าเธอต้องเตรียมแต่งงานเป็นเจ้าสาวเข้าบ้านฝ่ายชายแล้วนะ และพวกเขาแยกแบ่งชายหญิงกันชัดเจนเลยในโรงแรม ตอนพิธีโดริ คือ โยนข้าวสารใส่ฝั่งญาติเราคือเราต้องออกไปบ้านเขาแล้วนะ พอเราย้ายฝั่งไปบ้านฝ่ายชายแล้วก็ห้ามย้ายไปฝั่งหญิงอีกเลยห้ามหันกลับไปมองด้วย รวมถึง เตรียมพร๊อพ เตรียมคอนเซปงาน เตรียมการแสดงการเต้นฝ่ายเจ้าสาวประมาณนี้“

คุณสา : “น้องสาวของสามีทำ Wedding planner ออแกไนซ์เลยของคนอินเดีย จัดการให้ทุกอย่างตั้งแต่คิดการเดิน เดินเข้าอย่างไร อารมณ์เหมือนคนไทยนี่แหละแต่คนอินเดียเขาเน้นแสงสีเสียงเต้นตลอด กลองเขาก็ชื่อว่า “โดรน” ก็แบบตีตึ้ง ตึ้ง มันก็คือไฮไลท์ของงานเขาว่างานแต่งงานอินเดียฟังเสียงแล้วก็รู้เลยมีเต้นมีดนตรีมีอะไรที่มันบรรเทิงครึกครื้น เหมือนจะเป็นประมาณว่าเดินเข้าอย่างไร มีการแสดงอะไรบ้าง มีอย่างไรบ้าง บรีฟ MC MC ก็คือสองภาษา ภาษาอินเดียกับภาษาไทยเพราะว่ามีกลุ่มเพื่อนที่เป็นคนไทยไปด้วยก็เลยเป็นสองภาษาเท่านั้นเพื่อน ๆ จะได้จอยกันได้ด้วย ทั้งก่อนแต่ง วันแต่ง After party สรุปก็คือ 2 วันแต่ถือว่าน้อยมากนะ ปกติงานแต่งงานอินเดียเขาจัดประมาณ 5 – 8 วันเลย เขาจะแบ่งกันเลยวันนี้เขาจะปาร์ตี้ฝั่งผู้หญิงฝั่งผู้ชายห้ามมา วันนี้ปาร์ตี้ฝั่งผู้ชายผู้หญิงห้ามมา เพราะว่าสาวอินเดียแต่งงานไปก็ต้องไปอยู่บ้านผู้ชาย จะมาหาคุณพ่อคุณแม่แบบนี้ก็ไม่ได้ง่ายสมูทเหมือนเดิม บางบ้านเขาก็ถือเยอะ งานที่เราเอามารวมเป็นสองวันของงานสา สาเหนื่อยมาก ตอนเช้าเป็นงานแต่งงาน ตอนเย็นเป็นงานปาร์ตี้ เหนื่อยมาก แล้วระหว่างวันก็มีงานอีก มีโดริอีก เหนื่อยมากเพราะเขาทำทุกรวมไปเลยในหนึ่งวันก็เลยยาวไปเลย พิธีโดริคือรับตัวเจ้าสาวไปก็คือทำหนึ่งวันไปเลยแต่งหนึ่งวันไปเลยรับตัวเจ้าสาวหนึ่งวันไปเลย จริง ๆ มันสามารถแบ่งพิธีแยกวันได้แต่เราเอามารวมซึ่งมันทำให้เราเหนื่อยแบบมาก ๆ แต่ว่าเขานิยมทำกันแบบนี้เพราะว่ามันประหยัดบัตเจตด้วย ประหยัดเวลาด้วย อย่างญาติที่เดินทางมาจากอินเดียก็มางานแต่งงานของเราสองวันก็จบ มันโมเดิร์นและเป็นไปตามประเพณีได้ ก็คงอะไรที่มันเป็นหลักพิธีพอ ไม่ใส่เต็มเหมือนเดิม“

⭕ ความรู้สึกอินในความเป็นเจ้าสาวคือช่วงเวลาตอนใส่กำไลแดง ⭕ 

คุณสา : “เหมือนช่วงแรก ๆ เราจะไม่ค่อยรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าสาวขนาดนั้น ซ้อมเต้น แต่งหน้า ไปนั้น ไปนี้ ถ่ายรูป จะไม่ค่อยรู้สึกอะไรว่าฉันแต่งงานแล้วจริง ๆ เรามารู้สึกตอนหลังแต่งงานมากกว่า ตอน ณ วันแต่งงานของเราเลยเราแค่รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของเราแต่ความอินในความเป็นเจ้าสาวไม่ได้อินมากในวันนั้นเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเราต้องทำแข่งกับเวลา แล้วเหนื่อยมาก แต่งหน้าเสร็จแล้วเราต้องมาซ้อมเต้น ซ้อมเต้นเสร็จก็มาแต่งหน้าเปลี่ยนชุดถ่ายรูปคนนั้นคนนี้กัน แต่ถ้าถามว่าความอินในความเป็นเจ้าสาวจริง ๆ ของเราคือตอนไหนที่เรารู้สึกขนลุกเลยว่ามันจริงว่ะคือตอนใส่กำไลแดงเพราะว่ากำไลแดงไม่ใช่ใครจะใส่ก็ได้ต้องเป็นเจ้าสาวเท่านั้น อย่างทาเฮนน่าก็ไม่ได้รู้สึกว่าฉันทาแล้วเป็นเจ้าสาวแล้วนะ อย่างเราไปเที่ยวอินเดียเราก็ทา แต่ทาตอนแต่งงานคือทาไปถึงศอก ซึ่งในวันนั้นเราก็ลังเล กังวลหลายอย่างว่าเราจะลืมอะไรรึเปล่าอันนี้จะโอเคไหมก็เลยไม่ได้อินในวันนั้น แต่พอกำไลแดงลงเหมือนปล่อยฟรีทุกอย่าง ตอนใส่กำไลก็รู้สึกเหมือนกันว่าเขาจะอยู่กับเราไปอีกนาน และเราไม่สามารถถอดเขาเองได้ มันเหมือนเป็นการดิวกันและรู้สึกตัวเองว่าฉันเป็นเจ้าสาวละ และรู้สึกใจหายอยู่นะ ว่าเราเหมือนโตขึ้นไปอีกหนึ่งสเตปมีครอบครัวแล้ว ของสาใส่กำไลอยู่ 4 เดือนค่ะเพราะด้วยงานของเราด้วยเหมือนที่บ้านเขาก็รับรู้“

ความประทับมากที่สุดในวันแต่งงาน 

คุณสา : “เราประทับใจวันแต่งงานเลยที่แต่งชุดสีฟ้าเพราะมันสวยมาก งานตกแต่งก็สวย ตรงตามบรีฟทุกอย่าง ตกแต่งเต็มที่ มีพร๊อพริมทะเล ทำงานแต่งงานของเราคือดี คือสวยมาก และเป็นงานที่ทุกคนพูดถึง ชุดก็คือติดตาเพราะน้อยคนมากที่เจ้าสาวจะกล้าใส่ชุดสีฟ้าในงานแต่งงานของตัวเองเพราะแต่งแล้วไม่รอดกันแต่สาใส่แล้วรอดแล้วก็สวยมาก แล้วในวันนั้นก็รู้สึกเย็น ๆ ปกติริมทะเล 10 โมงต้องร้อนแต่วันงานแต่งงานของเราคือเย็นสบายไม่ร้อนเลย ทุกอย่างสมูทหมดเลย“

ฝากถึงว่าที่เจ้าสาวที่กำลังแต่งงานเข้าหาครอบครัวอินเดีย 

คุณสา : “จริง ๆ อยากฝากเรื่องชุดแหละเพราะว่าถ้าเรามีการจัดการเรื่องชุดดี เราจะได้ไม่ต้องเครียด สามีคือเวลาในการตัดชุดคือน้อยมาก ชุดแต่งงานของสาตัดสามเดือน ถ้า 6 เดือนหรือก่อน 6 เดือนจะดีมาก ในเรื่องของประเพณีต่าง ๆ แหละสาไม่อยากให้เรา เหมือนถ้าเราแต่งงานแบบอินเดียก็มีดีเทลในงานแต่งงานค่อนข้างเยอะ แต่ละพิธีต่าง ๆ ก็ไม่อยากให้ซีเรียสกับพิธีหรือสิ่งเหล่านั้นมาก ยกตัวอย่างเช่น ต้องทำแบบนั้นสิต้องทำแบบนี้สิ มันเจอเยอะในบ้านของสังคมอินเดียถ้าเราเจอบ้านที่เขาติดในเรื่องวัฒนธรรมมาก ๆ มันจะทำให้ผุ้หญิงเองที่จะเป็นเจ้าสาวเครียด เขาอาจจะบรีฟมาว่าทำไมเอ๊ะไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งจริง ๆ มาปรึกษา สา ได้นะเพราะสาก็ฉีกกฎเยอะอยู่ สาเชื่อว่ามันอยู่ที่ใจเรากับแฟนเราสิ่งอื่น ๆ มันส่งเสริมเราเฉย ๆ มันอยู่ที่เราสองคนมากกว่าว่าเราสองคนรักกันมากแค่ไหนและไปกันได้ไหม สาไม่อยากให้เครียดกับเรื่องดีเทลพิธีกรรมมากจนเกินไป อย่างงานแต่งงานของเราเรายังสงสัยอยู่ว่าทำไมอันนี้ต้องทำ ทำนิดนึงได้ไหม แล้วเขาให้เหตุผลมา ถ้าเหตุผลผ่านโอเคเรายอมทำ ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่ทำอย่างเข้าหอเราก็ไม่ได้ทำเพราะแต่งตัวไม่ทัน ถ้าแต่งตัวไม่ทันงานก็จะเลท ๆ ๆ ไปหมดเลย แล้วแขกที่เขาแก่เขาก็อยากนอนแล้ว แล้วก็เจ้าสาวอินเดียในพาร์ทของเพลงเต้นก็อยากให้เต้นกันแบบเต็มที่ เต้นไปเลยเต้นให้สนุก ทำให้ตัวเองแฮปปี้อย่ากดดันตัวเองเยอะ เข้าใจว่าพิธีมันเยอะมันเครียด แต่เราต้องทำให้ตัวเองสนุก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่าไปเครียดเพราะเครียดปุ๊บออกมาหน้าไม่สวยแล้วอะไรจะเกิดก็เกิดทุกอย่างมีปัญหาหมดเอาจริง คนที่แพลนงานมา 5 ปีก็มีปัญหา แพลนงานมา 2 เดือนก็มีปัญหา ปัญหาเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ขึ้นอยู่กับเราว่าจะแฮปปี้ไหม เราจะทำอะไรต่อไป เราเชื่อว่าถ้าบ่าวสาวแฮปปี้คนในงานก็จะแฮปปี้ด้วย แต่ถ้าบ่าวสาวไม่แฮปปี้ ไม่พอใจ ทุกคนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแฮปปี้ไม่พอใจเหมือนเราหรอก“

Kavin & Yanisa

Video ภาพบรรยากาศงานของคุณสา & คุณกวิน  

Special Thanks.

———————————————————

Photography: @godtar_photographer
MUA @jida.mua
Hair by @mossymosbeautiful
Outfit @seemagujraldesign
Jewellery @sonisapphire
Outfit @seemagujraldesign
Jewellery @ritikajewellers
Floral jewelry @pruneindia
Outfit @payal_zinal
Belt Beg @papadontpreachbyshubhika
shoe @fizzygoblet
Mehndi @mehndi_by_anitamaheshwari
Planner @kanihora @horakavita