2016 09 13 Web

วางแผนจัดงานแต่งงานอย่างไรภายใน 1 ปี : ตอนที่ 1


เพราะงานแต่งงานเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญที่ความประทับใจและความรู้สึกต่างๆ ที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ผ่านไปแล้วคือผ่านไปเลย เรียกความประทับใจนั้นกลับมาไม่ได้อีก การวางแผนจัดงานแต่งงานล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ความประทับใจเหล่านี้ออกมาในวันงานได้อย่างเพอร์เฟ็กต์ที่สุด ซึ่งฟังแล้วอาจดูเว่อร์แต่จริง เพราะการวางแผนจัดงานแต่งงานเขาเตรียมตัวกันเนิ่นๆ เป็นปีเลยนะ เอาละ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าค่ะ เมื่อคุณกับคู่รักตกลงปลงใจกันแล้วว่าจะแต่งงานกันแน่ๆ และทำพิธีสู่ขอกับญาติผู้ใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าที่คู่บ่าวสาวจะต้องวางไทม์ไลน์ต่อจากนี้ไปอีก 1 ปี และในช่วงเวลา 1 ปีก่อนแต่งงานนี้ เรามาดูเช็กลิสต์ตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้กันเลยว่า ต้องเตรียมพร้อมเรื่องอะไรกันบ้าง โดยสมมุติว่าเริ่มต้นจากเดือนมิถุนายน 2560 นี่แหละค่ะ

12 เดือนก่อนแต่งงาน (ภายในเดือนกันยายน 2560 ต้องทำอะไรให้เสร็จบ้าง) 

  • 1. ฤกษ์แต่งงาน ควรหาล่วงหน้า 1 ปี เช่น เริ่มวางแผนจัดงานแต่งงานเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 ก็ควรจะเลือกฤกษ์ที่เร็วที่สุดตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน 2561 เป็นต้นไป เมื่อได้วันที่จะจัดงานแน่นอนแล้ว ต่อไปคือการคิดรูปแบบงาน

 

  • 2. รูปแบบการจัดงานแต่งงานที่อยากได้ แค่บ่าวสาวปรึกษากันเองไม่พอ ควรปรึกษา แชร์ไอเดียกับพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเพื่อให้ขอบเขตงานชัดเจนและเติมเต็มสิ่งที่ขาดได้ดีขึ้น เพราะงานแต่งงานเป็นงานที่สเกลค่อนข้างกว้างและใช้ทักษะการจัดการมากพอสมควร

 

  • 3. จำนวนแขกที่จะมาร่วมงาน เริ่มจากลิสต์รายชื่อครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท และคนรู้จักที่อยากจะเชิญมาจริงๆ ก่อน เพื่อกำหนดขนาดของงานได้อย่างเหมาะสม

 

  • 4. งบประมาณ คาดคะเนคร่าวๆ ว่ามีส่วนไหนบ้าง และแต่ละส่วนต้องใช้งบประมาณจำนวนเท่าไร เช่น ค่าสถานที่ ค่าอาหารจัดเลี้ยง ค่าชุด ค่าช่างภาพ ค่าช่างแต่งหน้า ฯลฯ

 

  • 5. สถานที่จัดงานแต่งงาน หาหลายๆ ที่ควบคู่ไปกับรูปแบบงานที่อยากได้ว่าสไตล์ของที่นี่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับคอนเซ็ปต์งานหรือเปล่า เมื่อหาได้แล้วควรรีบจองทันที รวมทั้งจองที่พักสำหรับบรรดาญาติพี่น้องที่จะมาร่วมงานด้วย ถ้ามีญาติที่ต้องเดินทางไกล

 

  • 6. เริ่มหาและติดต่อจองเวดดิ้งแพลนเนอร์ สำหรับบ่าวสาวที่คิดว่ามีเวลาเตรียมตัวน้อยและอาจดูแล จัดการได้ไม่ทั่วถึงทุกส่วน หรือไม่สามารถกำหนดขอบเขตงานให้แน่ชัดได้ จึงต้องมีตัวกลางมาช่วยสานต่อไอเดียของคู่บ่าวสาว และคอยประสานให้ระหว่างผู้จัดงานกับช่างต่างๆ อย่างแพลนเนอร์ ซึ่งแพลนเนอร์จะเป็นคนแนะนำหรือจัดหาช่างต่างๆ ที่เข้ากับคอนเซ็ปต์งานของเรามาให้เลย จบแบบ One Stop Service แต่ถ้าจะไม่จ้างแพลนเนอร์ก็ข้ามไปที่ข้อ 7 เลยค่ะ

 

  • 7. ติดต่อจองช่างภาพและช่างวีดิโอ ช่างภาพแต่งงานทั้งงานพรีเวดดิ้งและงานแต่งงานมากกว่า 90% คิวแน่นจนต้องจองข้ามปีเลยทีเดียว เพราะงานของพวกเขาไม่ได้จบที่หน้างาน แต่ยังมีส่วนหลังกล้องที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนอีกด้วย อย่างที่บอกไปว่างานแต่งงานเป็นงานที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ดีที่สุดควรจะเลือกช่างภาพระดับมืออาชีพมาถ่ายงานนี้

 

  • 8. ติดต่อจองวงดนตรี เช่นเดียวกับช่างภาพและวีดิโอที่ต้องจองล่วงหน้าเป็นปี

 

  • 9. หาข้อมูลเกี่ยวกับสไตล์ชุดเจ้าสาวที่อยากได้

 

  • 10. นัดหมายกับร้านชุดแต่งงาน เพื่อให้ว่าที่เจ้าสาวได้เข้าไปเลือกและลองชุดเจ้าสาว

 

  • 11. ลิสต์คำถามคู่บ่าวสาวที่คาดว่าต้องเจอแน่ๆ บนเวทีวันงานแต่งงาน พร้อมคิดคำตอบคร่าวๆ ว่าจะตอบยังไง

 

  • 12. คิดและหาไอเดียเกี่ยวกับของ DIY ต่างๆ ที่ใช้ประดับตกแต่งงานแต่งงาน

 

การวางแผนจัดงานแต่งงานภายในเดือนแรกเป็นแค่ส่วนของการคิดไอเดียและเริ่มติดต่อจองคิวช่างต่างๆ ที่มีสเกลงานใหญ่และใช้เวลาเตรียมตัวนานกว่าช่างคนอื่นๆ ก่อน ซึ่งนอกจากจะทำให้เราหายกังวลไปได้บ้างแล้ว ยังเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนหรือเตรียมร่างกายสู่การเป็นคู่บ่าวสาวที่หุ่นเป๊ะในวันงานได้อีกเยอะเลย

ส่วนเดือนต่อไปจะต้องเตรียมตัวยังไงกันบ้าง ไว้มาต่อตอนหน้ากันนะคะ

Source